วันนี้ผมเพิ่งจะได้เริ่มดู The Social Network ซักที อุดส่าจะรอว่าแผ่นราคามันลดมั้ย แต่สุดท้ายขี้เกียจรอ เลยไปสอยมาเลย 555
โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็ได้ดูหนังของ David Fincher มาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นทั้ง Fight club , Se7en , The Curious Case of Benjamin Button, Zodiac และ Panic Room ความรู้สึกที่ได้จากหนังเรื่องก่อนๆ ผมรู้สึกว่าตัวหนังมันมีอะไรที่ซับซ้อนพอสมควร ที่จะทำให้เรารู้สึกอยากติดตามไปกับเหตุการณ์แต่ละฉากในเรื่อง แต่เมื่อผมมานั่งดู The Social Network ผมกลับไม่รู้สึกประทับใจเท่าใดนัก แถมแอบรู้สึกผิดหวังเล็กๆกับผลงานล่าสุดของผู้กำกับคนนี้ เพราะตัวหนังเอง ไร้ซึ่งความประณีตที่มากพอ กล่าวคือ บางจุดในหนัง ผมคิดว่ามันรวบรัด และพยายามเร่งให้คนดูเออออไปกับหนัง ทั้งๆที่บางครั้งรู้สึกได้ว่ามันขัดๆ แต่สุดท้ายก็ต้องตามน้ำไปกับหนัง ผมเลยไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้ ทำขึ้นเพื่อเอาใจคอ Facebook หรือป่าว???
แต่ถึงแม้ว่าตัวหนังจะให้ความรู้สึกที่รวบรัดเกินไป แต่หนังเรื่องนี้ก็มีจุดแข็งที่ว่าการเล่าเรื่องผ่านทางตัวละครได้เยี่ยมมาก มีการแสดงให้เห็นถึงด้านมืดและด้านสว่างของแต่ละคน ทำให้เราได้เห็นถึงความร้ายกาจ การหักหลัง การชิงไหวชิงพริบในโลกธุรกิจ และคำว่าเพื่อน!!! แถมมีการแทรกตลกร้ายที่แดกดันสิ่งต่างๆในสังคมได้อย่างโดนใจ แต่ในที่สุดแล้ว หนังเรื่องนี้เหมาะแล้วเหรอที่สมควรจะได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ และเสียงวิจารณ์ยกยอปอปั้นซะขนาดนั้น
ตัวผมนั้นไม่ได้รู้สึกเลยว่าหนังเรื่องนี้เหมาะที่จะได้รางวัล ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ดีและมีคนชื่นชอบมากมาย ก่อนที่ผมจะได้ดู ทุกๆคนก็พูดกันปากต่อปากว่าหนังเรื่องนี้ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แต่ผมสงสัยที่ว่ากระแสวิจารณ์หรือรางวัลที่ได้มา นั้นมันมาจากความโด่งดังของ Facebook หรือมันมาจากตัวหนังกันแน่ ผมยังไม่เข้าใจในจุดนี้ ทั้งๆที่ในปีนี้มีหนังที่น่าจะเข้าวินมากกว่าเรื่องนี้ตั้งมากมาย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดเช่นไร แต่ตัวผมแล้วนั้นถึงแม้ว่าจะรู้สึกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดี แต่มันดีพอสำหรับสิ่งที่มันได้รับไปมากมายจนเกินไปหรือป่าว
มาดูกันต่อนะ
การดำเนินเรื่อง สุดท้ายการดำเนินเรื่องของเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากหนังชีวประวัติเรื่องอื่นๆมากนัก ที่พยายามยกจุดบางจุดในหนังออกมาเป็นหัวเรื่อง และพยายามเล่าสิ่งต่างๆผ่านหัวเรื่องนั้น โดยการที่จะเล่าแบบฉากตัดฉาก ซึ่งในเรื่องนี้จะโฟกัสไปที่จุดของการสู้คดีของพี่น้อง Winklevoss และ Eduardo Saverin ต่อกับ Mark Zuckerberg หนังพยายามเล่าที่จะให้เห็นถึงความเป็นมาของ facebook ผ่านทางด้านมืดของตัวละคร โดยที่ดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นยันจบการสู้คดี แม้การดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ จะไม่มีความแปลกใหม่ซักเท่าไร แต่ก็ถือได้ว่าหนังเรื่องนี้ได้เล่าเรื่องอย่างง่ายๆ เพื่อที่คนดูทุกประเภทจะได้เข้าใจไปกับตัวหนังพร้อมๆกันได้
การแสดง ที่อาจจะเป็นอีกจุดแข็งหนึ่งของเรื่องนี้ ในเรื่องนี้ผมว่าผมต้องชมนักแสดงในเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว เพราะแต่ละคนถ่ายทอดด้านมืดและด้านสว่างของตัวละครนั้นๆได้อย่างหมดจด สมบูรณ์แบบก็ว่าได้ ดูไปดูมา ผมนึกว่า Jesse Eisenberg เป็น Mark Zuckerberg ตัวจริงเลยนะนั่น 555
เพลงประกอบ รู้สึกได้ว่าซาวน์ประกอบ ก็โอเคนะ แต่ไม่ถึงกับดีมากเท่าไร บางจุด มันไม่เร้าอารมณ์ซักเท่าไร แต่ถ้ามองรวมๆก็โอเคนะ แม้จะไม่ได้แย่ก็ตาม
สรุป หนังเรื่องนี้ก็ต้องถือว่าเป็นหนังชีวประวัติบุคคลที่ดีเรื่องหนึ่ง ถึงแม้จะมีข้อเสียอยู่บ้างในบางจุด แต่ก็ไม่ได้เป็นจุดสำคัญมากนัก(ถึงแม้จะดูสำคัญมากในการให้รางวัลลูกโลกทองคำก็ตาม 555) เมื่อเอาไปเทียบกับในภาพรวมแล้ว สุดท้ายนี้ หนังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นหนังที่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนได้ดูนะ(ถึงแม้จะไม่ควรได้รางวัลก็ตาม) มันก็ดูสนุกดี ดูไม่ยาก เข้าใจง่าย พอเพลินๆ แก้เซ็งได้ล่ะ หลังจากจบหนังทุกคนอาจจะหลงรักพี่มาร์ค อภิสิทธิ์ เอ๊ย พี่มาร์ค ซักเคอร์เบิร์กก็ได้นะ ฮ่าๆๆๆ
Rate : 7.5/10
ที่จริง อยากให้นักแสดงเรื่องนี้
ตอบลบได้รางวัลบ้างอะไรบ้างแหละนะ
โดยเฉพาะ Andrew Garfield
(หล่ออออ ขาดดด ใจจจจจ แสดงดีด้วย เราอย่างอิน)
แต่ก็ยังไม่เคยดูเรื่องอื่นที่ ได้รางวัลเลยย
แต่ยังไงก็เสียดายแทน Andrew Garfield ที่สุด
ชิชะ