แหมๆ กลับมารีวิวอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน มาคราวนี้ก็ขอจัดเรื่อง Little Miss Sunshine นะ ฮ่าๆๆ พึ่งจะได้มาวันเสาร์นี้เอง ก็เลยต้องเอามานั่งดูซักหน่อย >___<"
อารมณ์ก่อนดูหนังเรื่องนี้ ผมรู้สึกได้เลยว่าเรื่องนี้ต้องมีแต่ความอบอุ่นของครอบครัวไรงี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่นั้น หนังได้สะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยก ความไม่เข้าใจกัน และที่แน่ๆ คือความเป็นขี้แพ้ ถึงจะเห็นว่าหนังเรื่องนี้มีประเด็นเหล่านี้ ทุกคนอาจจะคิดว่ามันทำให้รู้สึกหดหู่มั้ย จริงๆแล้วมันใช่เลย แต่มันก็ยังแฝงไปด้วยความอบอุ่นของคนในครอบครัวบ้างนะ ฮ่าๆๆ
หนังเรื่องนี้จะไปโฟกัสที่ครอบครัวหนึ่งที่ชีวิตคนในครอบครัวบ่งบอกได้เลยถึงความอึดอัด และความแตกแยก แต่จริงๆแล้วครอบครัวนี้ดันเป็นพวกขี้แพ้ทั้งนั้น ตัวพ่อก็ไร้งานไร้เงิน ตัวแม่ก็ต้องทำงานบ้านอยู่คนเดียว ลูกชายก็ดันไม่ยอมพูดเพราะความคิดบ้าๆของตัวเอง พี่ชายแม่ที่เป็นเกย์แล้วผิดหวังในความรักจึงฆ่าตัวตายแต่ไม่ตาย และคุณปู่ที่วันๆเอาแต่สูบเฮโรอีน แต่ในความเป็นขี้แพ้แต่ก็เหมือนมีแสงสว่างเกิดขึ้น ซึ่งก็คือหนูโอลีฟ ลูกสาวนั่นเอง
หนังเรื่องนี้ได้อธิบายถึงความเป็นจริงบนโลกที่ทุกคนไม่ได้จะมีชีวิตที่สุขสบายเสมอไป และหนทางชีวิตไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่ทุกคนนั้นก็ยังต้องจำเป็นที่จะสู้ต่อไป ถึงแม้ที่จะเคยเป็นผู้แพ้แต่ยังไงแล้วก็จำเป็นต้องลุกขึ้นต่อสู้กับความจริงแม้ว่ามันจะดูโหดร้ายแค่ไหนก็ตาม เพราะเหตุนี้ผมจึงกล้าพูดได้ว่า หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังครอบครัวธรรมดาๆทั่วไป แต่มันเป็นหนังที่วิเศษมาก จริงๆนะ!!! แหมๆ ประทับใจจริงๆ เรื่องนี้
การดำเนินเรื่อง หนังดำเนินไปตามสไตล์ road movie ที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆตลอดการเดินทาง หนังเล่าได้อย่างเรียบง่าย แต่เฉียบคม แถมยังมีลูกเล่นตลกร้ายอีกด้วย
การแสดง ทุกคนในเรื่องแสดงออกมาได้สมกับความเป็นมืออาชีพ ถ่ายทอดความเป็นตัวละครนั้นๆได้อย่างดีเยี่ยม ดูแล้วอินกะหนังเลยนะ
เพลงประกอบ เพลงในเรื่อง ถือว่าทำได้ดี ให้อารมณ์เข้าไปกับหนัง
สรุป หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องนึง ที่ผมกล้าพูดได้ว่า ก่อนที่จะตายทุกคนควรได้ดูหนังเรื่องนี้ คนที่ดูเรื่องนี้จบ จะได้รับรู้ถึงความอบอุ่นในความลำบาก และขี้แพ้ที่ลุกขึ้นสู้ เป็นหนังที่ได้ดู แล้วจะอบอุ่นเข้าไปทุกอณูของหัวใจ ฮ่าๆๆๆ ดูเว่อร์ไปมากละ แต่ที่บอกหนังดีมากไม่เว่อร์นะ เอาง่ายๆเอาเวลาไปหามาดูเถอะ อย่าไปเสียเวลากับหนังบางเรื่องในโรงตอนนี้เลย 555555
RATE : 8/10
วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554
Unstoppable นานๆทีกับหนังตลาด
ครั้งนี้ เป็นรอบในหลายๆเดือนเลยนะ ที่ผมหยิบหนังตลาดทั่วไปมาดูซักเรื่อง อยู่ดีๆคิดไงไม่รู้ไปหยิบ Unstoppable มาดูซะงั้นอะ เอ๊ะ แล้วพอสังเกตนักแสดงแล้ว นี่มัน Denzel Washington นักแสดงคู่บุญของผู้กำกับคนนี้ Tony Scott เลยนะนี่ 55
เริ่มแรก การดูหนังเรื่องนี้ ผมคิดตั้งแต่แรกสุดท้ายหนังก็คงมาแบบเดิมๆ ตามสไตล์หนังตลาด และแล้วพอดูจบ นั่นไงใช่เลย นี่มันหนังตำรับเดิมนี่หว่า โอ้ว ไร้ความแปลกใหม่สิ้นดี
กล่าวคือ มาถึงหนังก็เล่าชีวิตของตัวเอกทั้ง2คน ว่าเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ แล้วก้ต้องผลักตัวเอกพวกนี้ เข้าไปสู่เหตุการณ์ที่มิอาจที่หลีกเลี่ยงได้ แล้วสุดท้ายก็กลับกลายเป็นฮีโร่ ลูกเมียก็กลับมารักดังเดิม คนที่ดูเรื่องนี้แล้ว อาจจะเถียงว่า หนังเรื่องนี้มันอิงมาจากเรื่องจริงนะ แล้วจะไม่ให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ผมก็ขอบอกว่าถึงแม้หนังมันจำเป็นต้องเดินไปในทางนี้ แต่มันควรมีวิธีที่ถ่ายทอดได้อย่างชาญฉลาดมากกว่านี้หน่อย ไม่ใช่ว่าต้องผลักเหตุการณ์ต่างๆ ให้ไปอยู่กับตัวเอกจนมากเกินไป จนทำให้หนังลดความสนุกลงไปได้ อีกอย่างหนังเรื่องนี้มันควรจะสร้างความกดดันได้มากกว่านี้ แต่ผมนั้นกลับไม่รู้สึกเลย แสดงให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้มันไม่ถึงกึ๋นจริงๆ แต่ในข้อเสียหลายอย่าง มันก็พอมีข้อดีอยู่บ้างแหละน่า เท่าที่เห็นก็คงมีดีแค่การแสดงของ Denzel Washington นี่แหละที่ชูโรงได้หน่อย ที่เหลือเรอะก็คงไม่มีไรดีเท่าไร พื้นๆมากหนังเรื่องนี้
...........
การดำเนินเรื่อง หนังเรื่องนี้ไร้กลยุทธ์ในการเล่าเรื่อง แต่หนังมันก็ทำให้ดูได้ง่าย ลูกเด็กเล็กแดงก็ดูกันได้หมดแหละ แต่โดยส่วนตัวผมไม่ชอบการดำเนินเรื่องของเรื่องนี้เลย เพราะมันซ้ำซากเกินไปเท่านั้นเอง 555
การแสดง Denzel Washington แสดงได้ใช้ได้นะ แต่อีกคนนี่สิ Chris Pine ผมรู้สึกได้ว่ามันไม่ถึงว่ะ ดูแล้วมันขัดๆลูกกะตายังไงไม่รู้ กับท่าทีในการแสดงของเขา แต่มันก็ไม่ถึงขั้นห่วยหรอกนะ อาจจะพอๆกับนักแสดงบ้านเราพวกค่าย GTH ก็ว่าได้ โอ๊ะ พาดพิงบุคคลที่3
เพลงประกอบ ก็ตำรับหนังแอคชั่นเดิมๆ จังหวะเล่าเรื่องก็ใช้โทนเศร้าๆ จังหวะตื่นเต้นก็ตุบๆๆๆๆๆๆ ถึงแม้จะไม่ดีซักเท่าไรในรายละเอียด แต่ถ้าผิวเผินหรือโดยรวมก็โอเคดีนะ ถ้าเต็ม10 ก็คงอยู่ที่ 5 แหละ ครึ่งๆเลย
สรุป หนังเรื่องนี้ไม่ถึงกับเสียเวลาดูหรอก ก็ยังพอให้ความสนุกได้บ้างนะ สำหรับคอหนังตลาดก็ดูๆไปเถอะ แต่สำหรับคอหนังแบบผม อย่าเสียเวลาไปดูเลย มันไม่สนุกเท่าไรจริงๆ ดูแล้วเบื่อ รู้งี้เอาเวลาไปนั่งดูอนิเมที่นั่งโหลดมาดีกว่า 55555
RATE : 5/10
เริ่มแรก การดูหนังเรื่องนี้ ผมคิดตั้งแต่แรกสุดท้ายหนังก็คงมาแบบเดิมๆ ตามสไตล์หนังตลาด และแล้วพอดูจบ นั่นไงใช่เลย นี่มันหนังตำรับเดิมนี่หว่า โอ้ว ไร้ความแปลกใหม่สิ้นดี
กล่าวคือ มาถึงหนังก็เล่าชีวิตของตัวเอกทั้ง2คน ว่าเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ แล้วก้ต้องผลักตัวเอกพวกนี้ เข้าไปสู่เหตุการณ์ที่มิอาจที่หลีกเลี่ยงได้ แล้วสุดท้ายก็กลับกลายเป็นฮีโร่ ลูกเมียก็กลับมารักดังเดิม คนที่ดูเรื่องนี้แล้ว อาจจะเถียงว่า หนังเรื่องนี้มันอิงมาจากเรื่องจริงนะ แล้วจะไม่ให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ผมก็ขอบอกว่าถึงแม้หนังมันจำเป็นต้องเดินไปในทางนี้ แต่มันควรมีวิธีที่ถ่ายทอดได้อย่างชาญฉลาดมากกว่านี้หน่อย ไม่ใช่ว่าต้องผลักเหตุการณ์ต่างๆ ให้ไปอยู่กับตัวเอกจนมากเกินไป จนทำให้หนังลดความสนุกลงไปได้ อีกอย่างหนังเรื่องนี้มันควรจะสร้างความกดดันได้มากกว่านี้ แต่ผมนั้นกลับไม่รู้สึกเลย แสดงให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้มันไม่ถึงกึ๋นจริงๆ แต่ในข้อเสียหลายอย่าง มันก็พอมีข้อดีอยู่บ้างแหละน่า เท่าที่เห็นก็คงมีดีแค่การแสดงของ Denzel Washington นี่แหละที่ชูโรงได้หน่อย ที่เหลือเรอะก็คงไม่มีไรดีเท่าไร พื้นๆมากหนังเรื่องนี้
...........
การดำเนินเรื่อง หนังเรื่องนี้ไร้กลยุทธ์ในการเล่าเรื่อง แต่หนังมันก็ทำให้ดูได้ง่าย ลูกเด็กเล็กแดงก็ดูกันได้หมดแหละ แต่โดยส่วนตัวผมไม่ชอบการดำเนินเรื่องของเรื่องนี้เลย เพราะมันซ้ำซากเกินไปเท่านั้นเอง 555
การแสดง Denzel Washington แสดงได้ใช้ได้นะ แต่อีกคนนี่สิ Chris Pine ผมรู้สึกได้ว่ามันไม่ถึงว่ะ ดูแล้วมันขัดๆลูกกะตายังไงไม่รู้ กับท่าทีในการแสดงของเขา แต่มันก็ไม่ถึงขั้นห่วยหรอกนะ อาจจะพอๆกับนักแสดงบ้านเราพวกค่าย GTH ก็ว่าได้ โอ๊ะ พาดพิงบุคคลที่3
เพลงประกอบ ก็ตำรับหนังแอคชั่นเดิมๆ จังหวะเล่าเรื่องก็ใช้โทนเศร้าๆ จังหวะตื่นเต้นก็ตุบๆๆๆๆๆๆ ถึงแม้จะไม่ดีซักเท่าไรในรายละเอียด แต่ถ้าผิวเผินหรือโดยรวมก็โอเคดีนะ ถ้าเต็ม10 ก็คงอยู่ที่ 5 แหละ ครึ่งๆเลย
สรุป หนังเรื่องนี้ไม่ถึงกับเสียเวลาดูหรอก ก็ยังพอให้ความสนุกได้บ้างนะ สำหรับคอหนังตลาดก็ดูๆไปเถอะ แต่สำหรับคอหนังแบบผม อย่าเสียเวลาไปดูเลย มันไม่สนุกเท่าไรจริงๆ ดูแล้วเบื่อ รู้งี้เอาเวลาไปนั่งดูอนิเมที่นั่งโหลดมาดีกว่า 55555
RATE : 5/10
วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554
The Social Network เหมาะสมแล้วเหรอ??? ที่ได้ลูกโลกทองคำ
วันนี้ผมเพิ่งจะได้เริ่มดู The Social Network ซักที อุดส่าจะรอว่าแผ่นราคามันลดมั้ย แต่สุดท้ายขี้เกียจรอ เลยไปสอยมาเลย 555
โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็ได้ดูหนังของ David Fincher มาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นทั้ง Fight club , Se7en , The Curious Case of Benjamin Button, Zodiac และ Panic Room ความรู้สึกที่ได้จากหนังเรื่องก่อนๆ ผมรู้สึกว่าตัวหนังมันมีอะไรที่ซับซ้อนพอสมควร ที่จะทำให้เรารู้สึกอยากติดตามไปกับเหตุการณ์แต่ละฉากในเรื่อง แต่เมื่อผมมานั่งดู The Social Network ผมกลับไม่รู้สึกประทับใจเท่าใดนัก แถมแอบรู้สึกผิดหวังเล็กๆกับผลงานล่าสุดของผู้กำกับคนนี้ เพราะตัวหนังเอง ไร้ซึ่งความประณีตที่มากพอ กล่าวคือ บางจุดในหนัง ผมคิดว่ามันรวบรัด และพยายามเร่งให้คนดูเออออไปกับหนัง ทั้งๆที่บางครั้งรู้สึกได้ว่ามันขัดๆ แต่สุดท้ายก็ต้องตามน้ำไปกับหนัง ผมเลยไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้ ทำขึ้นเพื่อเอาใจคอ Facebook หรือป่าว???
แต่ถึงแม้ว่าตัวหนังจะให้ความรู้สึกที่รวบรัดเกินไป แต่หนังเรื่องนี้ก็มีจุดแข็งที่ว่าการเล่าเรื่องผ่านทางตัวละครได้เยี่ยมมาก มีการแสดงให้เห็นถึงด้านมืดและด้านสว่างของแต่ละคน ทำให้เราได้เห็นถึงความร้ายกาจ การหักหลัง การชิงไหวชิงพริบในโลกธุรกิจ และคำว่าเพื่อน!!! แถมมีการแทรกตลกร้ายที่แดกดันสิ่งต่างๆในสังคมได้อย่างโดนใจ แต่ในที่สุดแล้ว หนังเรื่องนี้เหมาะแล้วเหรอที่สมควรจะได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ และเสียงวิจารณ์ยกยอปอปั้นซะขนาดนั้น
ตัวผมนั้นไม่ได้รู้สึกเลยว่าหนังเรื่องนี้เหมาะที่จะได้รางวัล ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ดีและมีคนชื่นชอบมากมาย ก่อนที่ผมจะได้ดู ทุกๆคนก็พูดกันปากต่อปากว่าหนังเรื่องนี้ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แต่ผมสงสัยที่ว่ากระแสวิจารณ์หรือรางวัลที่ได้มา นั้นมันมาจากความโด่งดังของ Facebook หรือมันมาจากตัวหนังกันแน่ ผมยังไม่เข้าใจในจุดนี้ ทั้งๆที่ในปีนี้มีหนังที่น่าจะเข้าวินมากกว่าเรื่องนี้ตั้งมากมาย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดเช่นไร แต่ตัวผมแล้วนั้นถึงแม้ว่าจะรู้สึกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดี แต่มันดีพอสำหรับสิ่งที่มันได้รับไปมากมายจนเกินไปหรือป่าว
มาดูกันต่อนะ
การดำเนินเรื่อง สุดท้ายการดำเนินเรื่องของเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากหนังชีวประวัติเรื่องอื่นๆมากนัก ที่พยายามยกจุดบางจุดในหนังออกมาเป็นหัวเรื่อง และพยายามเล่าสิ่งต่างๆผ่านหัวเรื่องนั้น โดยการที่จะเล่าแบบฉากตัดฉาก ซึ่งในเรื่องนี้จะโฟกัสไปที่จุดของการสู้คดีของพี่น้อง Winklevoss และ Eduardo Saverin ต่อกับ Mark Zuckerberg หนังพยายามเล่าที่จะให้เห็นถึงความเป็นมาของ facebook ผ่านทางด้านมืดของตัวละคร โดยที่ดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นยันจบการสู้คดี แม้การดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ จะไม่มีความแปลกใหม่ซักเท่าไร แต่ก็ถือได้ว่าหนังเรื่องนี้ได้เล่าเรื่องอย่างง่ายๆ เพื่อที่คนดูทุกประเภทจะได้เข้าใจไปกับตัวหนังพร้อมๆกันได้
การแสดง ที่อาจจะเป็นอีกจุดแข็งหนึ่งของเรื่องนี้ ในเรื่องนี้ผมว่าผมต้องชมนักแสดงในเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว เพราะแต่ละคนถ่ายทอดด้านมืดและด้านสว่างของตัวละครนั้นๆได้อย่างหมดจด สมบูรณ์แบบก็ว่าได้ ดูไปดูมา ผมนึกว่า Jesse Eisenberg เป็น Mark Zuckerberg ตัวจริงเลยนะนั่น 555
เพลงประกอบ รู้สึกได้ว่าซาวน์ประกอบ ก็โอเคนะ แต่ไม่ถึงกับดีมากเท่าไร บางจุด มันไม่เร้าอารมณ์ซักเท่าไร แต่ถ้ามองรวมๆก็โอเคนะ แม้จะไม่ได้แย่ก็ตาม
สรุป หนังเรื่องนี้ก็ต้องถือว่าเป็นหนังชีวประวัติบุคคลที่ดีเรื่องหนึ่ง ถึงแม้จะมีข้อเสียอยู่บ้างในบางจุด แต่ก็ไม่ได้เป็นจุดสำคัญมากนัก(ถึงแม้จะดูสำคัญมากในการให้รางวัลลูกโลกทองคำก็ตาม 555) เมื่อเอาไปเทียบกับในภาพรวมแล้ว สุดท้ายนี้ หนังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นหนังที่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนได้ดูนะ(ถึงแม้จะไม่ควรได้รางวัลก็ตาม) มันก็ดูสนุกดี ดูไม่ยาก เข้าใจง่าย พอเพลินๆ แก้เซ็งได้ล่ะ หลังจากจบหนังทุกคนอาจจะหลงรักพี่มาร์ค อภิสิทธิ์ เอ๊ย พี่มาร์ค ซักเคอร์เบิร์กก็ได้นะ ฮ่าๆๆๆ
Rate : 7.5/10
โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็ได้ดูหนังของ David Fincher มาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นทั้ง Fight club , Se7en , The Curious Case of Benjamin Button, Zodiac และ Panic Room ความรู้สึกที่ได้จากหนังเรื่องก่อนๆ ผมรู้สึกว่าตัวหนังมันมีอะไรที่ซับซ้อนพอสมควร ที่จะทำให้เรารู้สึกอยากติดตามไปกับเหตุการณ์แต่ละฉากในเรื่อง แต่เมื่อผมมานั่งดู The Social Network ผมกลับไม่รู้สึกประทับใจเท่าใดนัก แถมแอบรู้สึกผิดหวังเล็กๆกับผลงานล่าสุดของผู้กำกับคนนี้ เพราะตัวหนังเอง ไร้ซึ่งความประณีตที่มากพอ กล่าวคือ บางจุดในหนัง ผมคิดว่ามันรวบรัด และพยายามเร่งให้คนดูเออออไปกับหนัง ทั้งๆที่บางครั้งรู้สึกได้ว่ามันขัดๆ แต่สุดท้ายก็ต้องตามน้ำไปกับหนัง ผมเลยไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้ ทำขึ้นเพื่อเอาใจคอ Facebook หรือป่าว???
แต่ถึงแม้ว่าตัวหนังจะให้ความรู้สึกที่รวบรัดเกินไป แต่หนังเรื่องนี้ก็มีจุดแข็งที่ว่าการเล่าเรื่องผ่านทางตัวละครได้เยี่ยมมาก มีการแสดงให้เห็นถึงด้านมืดและด้านสว่างของแต่ละคน ทำให้เราได้เห็นถึงความร้ายกาจ การหักหลัง การชิงไหวชิงพริบในโลกธุรกิจ และคำว่าเพื่อน!!! แถมมีการแทรกตลกร้ายที่แดกดันสิ่งต่างๆในสังคมได้อย่างโดนใจ แต่ในที่สุดแล้ว หนังเรื่องนี้เหมาะแล้วเหรอที่สมควรจะได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ และเสียงวิจารณ์ยกยอปอปั้นซะขนาดนั้น
ตัวผมนั้นไม่ได้รู้สึกเลยว่าหนังเรื่องนี้เหมาะที่จะได้รางวัล ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ดีและมีคนชื่นชอบมากมาย ก่อนที่ผมจะได้ดู ทุกๆคนก็พูดกันปากต่อปากว่าหนังเรื่องนี้ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แต่ผมสงสัยที่ว่ากระแสวิจารณ์หรือรางวัลที่ได้มา นั้นมันมาจากความโด่งดังของ Facebook หรือมันมาจากตัวหนังกันแน่ ผมยังไม่เข้าใจในจุดนี้ ทั้งๆที่ในปีนี้มีหนังที่น่าจะเข้าวินมากกว่าเรื่องนี้ตั้งมากมาย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดเช่นไร แต่ตัวผมแล้วนั้นถึงแม้ว่าจะรู้สึกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดี แต่มันดีพอสำหรับสิ่งที่มันได้รับไปมากมายจนเกินไปหรือป่าว
มาดูกันต่อนะ
การดำเนินเรื่อง สุดท้ายการดำเนินเรื่องของเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากหนังชีวประวัติเรื่องอื่นๆมากนัก ที่พยายามยกจุดบางจุดในหนังออกมาเป็นหัวเรื่อง และพยายามเล่าสิ่งต่างๆผ่านหัวเรื่องนั้น โดยการที่จะเล่าแบบฉากตัดฉาก ซึ่งในเรื่องนี้จะโฟกัสไปที่จุดของการสู้คดีของพี่น้อง Winklevoss และ Eduardo Saverin ต่อกับ Mark Zuckerberg หนังพยายามเล่าที่จะให้เห็นถึงความเป็นมาของ facebook ผ่านทางด้านมืดของตัวละคร โดยที่ดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นยันจบการสู้คดี แม้การดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ จะไม่มีความแปลกใหม่ซักเท่าไร แต่ก็ถือได้ว่าหนังเรื่องนี้ได้เล่าเรื่องอย่างง่ายๆ เพื่อที่คนดูทุกประเภทจะได้เข้าใจไปกับตัวหนังพร้อมๆกันได้
การแสดง ที่อาจจะเป็นอีกจุดแข็งหนึ่งของเรื่องนี้ ในเรื่องนี้ผมว่าผมต้องชมนักแสดงในเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว เพราะแต่ละคนถ่ายทอดด้านมืดและด้านสว่างของตัวละครนั้นๆได้อย่างหมดจด สมบูรณ์แบบก็ว่าได้ ดูไปดูมา ผมนึกว่า Jesse Eisenberg เป็น Mark Zuckerberg ตัวจริงเลยนะนั่น 555
เพลงประกอบ รู้สึกได้ว่าซาวน์ประกอบ ก็โอเคนะ แต่ไม่ถึงกับดีมากเท่าไร บางจุด มันไม่เร้าอารมณ์ซักเท่าไร แต่ถ้ามองรวมๆก็โอเคนะ แม้จะไม่ได้แย่ก็ตาม
สรุป หนังเรื่องนี้ก็ต้องถือว่าเป็นหนังชีวประวัติบุคคลที่ดีเรื่องหนึ่ง ถึงแม้จะมีข้อเสียอยู่บ้างในบางจุด แต่ก็ไม่ได้เป็นจุดสำคัญมากนัก(ถึงแม้จะดูสำคัญมากในการให้รางวัลลูกโลกทองคำก็ตาม 555) เมื่อเอาไปเทียบกับในภาพรวมแล้ว สุดท้ายนี้ หนังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นหนังที่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนได้ดูนะ(ถึงแม้จะไม่ควรได้รางวัลก็ตาม) มันก็ดูสนุกดี ดูไม่ยาก เข้าใจง่าย พอเพลินๆ แก้เซ็งได้ล่ะ หลังจากจบหนังทุกคนอาจจะหลงรักพี่มาร์ค อภิสิทธิ์ เอ๊ย พี่มาร์ค ซักเคอร์เบิร์กก็ได้นะ ฮ่าๆๆๆ
Rate : 7.5/10
วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554
ลุงบุญมีระลึกชาติ โอ้ว หนังดูยากจริงๆ????
(มีการเปิดเผยเนื้อหาหนังบางส่วน)
จะว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้ ก็เป็นหนึ่งในหนังไทย ที่ไปสร้างความประทับใจให้แก่ชาวต่าวชาติได้ และยังได้คว้ารางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์มาอีก นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก
วันนี้ผมก็ได้นำเรื่องนี้มาดูโดย อีกใจหนึ่งผมก็หวั่นๆ เพราะหลายๆคน บอกมาว่า อะโห หนังเรื่องนี้มันดูยากเกินไป ใครจะไปดูรู้เรื่องวะ หรือไม่ก็บอกว่า ใครดูรู้เรื่อง กูคงคุยกับคนนั้นไม่รู้เรื่องแล้ว แต่ยังไง ผมก็ต้องดู แหม...หนังมันมีเสียงวิจารณ์แต่ทางบวกเยอะนี่นา ยังไงผมก็ต้องดูแน่ๆ
โดยส่วนตัวแล้วหนัง2เรื่องที่ผ่านมาของอภิชาติพงศ์ ผมไม่เคยดูเลยนะ มาถึงก็ดูเรื่องนี้เลย อยากบอกว่าหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบลง มีสิ่งๆหนึ่งที่มันอยู่ในใจผม คือ เอ๊ะ กูตีความหนังได้ถูกปะวะ หรือว่ากูดูไม่รู้เรื่อง 555 แต่ผมก็จะพูดตามที่ผมคิดละกัน
หนังเรื่องนี้เท่าที่ผมดู ผมคิดว่าประเด็นของหนังมันอยู่ที่การหลุดพ้นจากการยึดติดในเรื่องค่านิยม ความเจริญ และกฎหมาย เพื่อกลับสู่ธรรมชาติหรือความบริสุทธิ์ดังเดิม อ๊ะ งงละสิ จะลองอธิบายคร่าวๆให้ฟัง
กล่าวคือ อย่างสังเกตสิ ทำไมลูกของลุงบุญมี(บุญส่ง) ทำไม ต้องเป็นลิง ซึ่งก็น่าจะหมายถึงว่า สุดท้ายมนุษย์ก็ต้องกลับไปสู่รากเหง้าของมนุษย์ หรือก็คือลิงดึกดำบรรพ์
ถ้างงอีก มีต่อ อย่างฉากที่พระโต้งต้องหนีมาอาบน้ำ ไปกินข้าว ก็แสดงให้เห็นว่า ในขณะที่บวชเป็นพระ โต้งก็บวชเพราะความจำเป็น หาใช่ความต้องการไม่ ถึงแม้จะกลับมาแต่ก็ยังสลัดค่านิยม หรือ จารีตประเพณี ทิ้งออกไปมิได้ สุดท้ายก็ต้อวหลุดไปอยู่ในห้วงจักรวาลคู่ขนาน ที่ไม่มีค่านิยมเหล่านั้น
แล้วลองสังเกตอีกฉากสิว่า ทำไมลุงบุญมีถึงต้องไปตายที่ถ้ำ 555 ผมก็ตีความว่าถ้ำอาจจะหมายถึงว่ามันเป็นที่อยู่แรกๆของมนุษย์ที่ได้อยู่อาศัย ก็แสดงว่าลุงบุญมีเปรียบเสมือนได้กลับไปอยู่ในที่อยู่แรกของมนุษย์
ถ้าดูในมุมกฏหมายฉากที่จายต้องการกลับบ้านที่ลาว ซึ่งจายก็เป็นคนที่เข้าประเทศมาผิดกฏหมาย ถ้าจายกลับบ้านไปก็จะทำให้จายหลุดพ้นจากกฏหมายซึ่งที่มนุษย์บัญญัติขึ้นมา
และฉากที่ผมว่าเด็ดที่สุด ที่แบบว่าถึงขั้นทำลายกำแพงกั้นหรือค่านิยม ทิ้งไปหมด ก็คือฉากที่เจ้าหญิงบั่มบั๊มกับปลาดุก ตอนแรกดูๆก็งง ว่ามันทำอะไรกันวะ แต่ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่า เจ้าหญิงเมื่อสลัดยศถาบรรดาศักดิ์ไปแล้ว ก้เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนนึง และยังรุนแรงถึงขั้นทำลายชนชั้นมนุษย์กับสัตว์ โอ้ว แรงจิงๆ แต่ที่สงสัยก็มีอย่างนึง อีเจ้าหญิงนี่มันเกี่ยวเหี้ยไรกับหนังวะ งงจริงๆนะ
เอิ่ม ที่แพล่มๆไปนี่ แสดงว่ากูรู้เรื่องรึป่าววะ 5555 มาพูดถึงการดำเนินเรื่องกันกว่านะ อยากบอกว่าถ้าไม่ใช่คอหนังจริงๆ คงทำใจลำบากที่จะดู เพราะหนังดำเนินเรื่องได้ช้าสุดๆ แถมยังมีการสอดแทรกการเสียดสีต่าง ซึ่งการเสียดสีก็นับว่าเป็นข้อดีที่สุดของเรื่องนี้แล้ว ตรงนี้เองที่ทำให้การดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ มีจุดให้เราขบคิดไปกับหนัง ไปตามเนื้อเรื่องที่ไปอย่างช้าๆ ใครไม่ชอบดูแนวนี้ หลับตั้งแต่10นาทีแรกแน่นอน
การแสดง ในใจผมลึกๆนะ ผมยังคิดว่าการแสดงของแต่ละคน ยังไม่ดีพอ มันดูไม่สมจริง ไม่ทำให้ผมรู้สึกว่าคนที่แสดงเป็นตัวละครนั้นๆ เป็นตัวละคนนั้นจริงๆ อาจเหตุเพราะว่า หนังไม่ได้ใช้ดาราดังๆเลยก็เป็นได้
เพลงประกอบ ผมรู้สึกได้คำเดียวว่า "ดิบ" เพราะเพลงมันนำเสนอตัวมันเองได้ตรงๆเลย ทำให้ฉากแต่ละฉาก ดูมีความหมายขึ้นมาทันตาเห็น
สรุป ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ ไม่เหมาะเลยสำหรับคนดูที่ต้องการความสนุกทั่วๆไป แต่เหมาะกับคนดูที่ชอบคิดไปตามกับหนัง เพราะการดำเนินเรื่องอะไรต่างๆ สามารถทำให้หลับได้อย่างทันใด(สำหรับคนดูทั่วไป) แต่ผมคิดว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้วงการหนังไทยมีความเจริญขึ้นไปอีก ไม่ฉุดรั้งวงการอย่างหนังที่ทำๆกันตามทุกวันนี้ ที่พยายามทำเพื่อหาเงิน โดยไม่สอดแทรกสิ่งต่างๆหรือใส่ความแปลกใหม่ลงไป ฉะนั้น หนังเรื่องนี้เหมาะสมแล้วที่ได้รับรางวัลปาล์มทองคำอย่างแน่นอน
เสียดายมากครับที่ผมไม่ได้ซื้อเรื่องนี้มาดู แต่ที่ดูได้ก็เพราะโหลดมา แต่ถ้ามีแผ่นแท้ผมจะไปซื้อเก็บไว้แน่ๆครับ ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะมีคนที่ไม่ชอบ แต่ผมก็ยังอยากให้ทุกคนดูเรื่องนี้นะครับ 555
RATE : 7.5/10
จะว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้ ก็เป็นหนึ่งในหนังไทย ที่ไปสร้างความประทับใจให้แก่ชาวต่าวชาติได้ และยังได้คว้ารางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์มาอีก นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก
วันนี้ผมก็ได้นำเรื่องนี้มาดูโดย อีกใจหนึ่งผมก็หวั่นๆ เพราะหลายๆคน บอกมาว่า อะโห หนังเรื่องนี้มันดูยากเกินไป ใครจะไปดูรู้เรื่องวะ หรือไม่ก็บอกว่า ใครดูรู้เรื่อง กูคงคุยกับคนนั้นไม่รู้เรื่องแล้ว แต่ยังไง ผมก็ต้องดู แหม...หนังมันมีเสียงวิจารณ์แต่ทางบวกเยอะนี่นา ยังไงผมก็ต้องดูแน่ๆ
โดยส่วนตัวแล้วหนัง2เรื่องที่ผ่านมาของอภิชาติพงศ์ ผมไม่เคยดูเลยนะ มาถึงก็ดูเรื่องนี้เลย อยากบอกว่าหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบลง มีสิ่งๆหนึ่งที่มันอยู่ในใจผม คือ เอ๊ะ กูตีความหนังได้ถูกปะวะ หรือว่ากูดูไม่รู้เรื่อง 555 แต่ผมก็จะพูดตามที่ผมคิดละกัน
หนังเรื่องนี้เท่าที่ผมดู ผมคิดว่าประเด็นของหนังมันอยู่ที่การหลุดพ้นจากการยึดติดในเรื่องค่านิยม ความเจริญ และกฎหมาย เพื่อกลับสู่ธรรมชาติหรือความบริสุทธิ์ดังเดิม อ๊ะ งงละสิ จะลองอธิบายคร่าวๆให้ฟัง
กล่าวคือ อย่างสังเกตสิ ทำไมลูกของลุงบุญมี(บุญส่ง) ทำไม ต้องเป็นลิง ซึ่งก็น่าจะหมายถึงว่า สุดท้ายมนุษย์ก็ต้องกลับไปสู่รากเหง้าของมนุษย์ หรือก็คือลิงดึกดำบรรพ์
ถ้างงอีก มีต่อ อย่างฉากที่พระโต้งต้องหนีมาอาบน้ำ ไปกินข้าว ก็แสดงให้เห็นว่า ในขณะที่บวชเป็นพระ โต้งก็บวชเพราะความจำเป็น หาใช่ความต้องการไม่ ถึงแม้จะกลับมาแต่ก็ยังสลัดค่านิยม หรือ จารีตประเพณี ทิ้งออกไปมิได้ สุดท้ายก็ต้อวหลุดไปอยู่ในห้วงจักรวาลคู่ขนาน ที่ไม่มีค่านิยมเหล่านั้น
แล้วลองสังเกตอีกฉากสิว่า ทำไมลุงบุญมีถึงต้องไปตายที่ถ้ำ 555 ผมก็ตีความว่าถ้ำอาจจะหมายถึงว่ามันเป็นที่อยู่แรกๆของมนุษย์ที่ได้อยู่อาศัย ก็แสดงว่าลุงบุญมีเปรียบเสมือนได้กลับไปอยู่ในที่อยู่แรกของมนุษย์
ถ้าดูในมุมกฏหมายฉากที่จายต้องการกลับบ้านที่ลาว ซึ่งจายก็เป็นคนที่เข้าประเทศมาผิดกฏหมาย ถ้าจายกลับบ้านไปก็จะทำให้จายหลุดพ้นจากกฏหมายซึ่งที่มนุษย์บัญญัติขึ้นมา
และฉากที่ผมว่าเด็ดที่สุด ที่แบบว่าถึงขั้นทำลายกำแพงกั้นหรือค่านิยม ทิ้งไปหมด ก็คือฉากที่เจ้าหญิงบั่มบั๊มกับปลาดุก ตอนแรกดูๆก็งง ว่ามันทำอะไรกันวะ แต่ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่า เจ้าหญิงเมื่อสลัดยศถาบรรดาศักดิ์ไปแล้ว ก้เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนนึง และยังรุนแรงถึงขั้นทำลายชนชั้นมนุษย์กับสัตว์ โอ้ว แรงจิงๆ แต่ที่สงสัยก็มีอย่างนึง อีเจ้าหญิงนี่มันเกี่ยวเหี้ยไรกับหนังวะ งงจริงๆนะ
เอิ่ม ที่แพล่มๆไปนี่ แสดงว่ากูรู้เรื่องรึป่าววะ 5555 มาพูดถึงการดำเนินเรื่องกันกว่านะ อยากบอกว่าถ้าไม่ใช่คอหนังจริงๆ คงทำใจลำบากที่จะดู เพราะหนังดำเนินเรื่องได้ช้าสุดๆ แถมยังมีการสอดแทรกการเสียดสีต่าง ซึ่งการเสียดสีก็นับว่าเป็นข้อดีที่สุดของเรื่องนี้แล้ว ตรงนี้เองที่ทำให้การดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ มีจุดให้เราขบคิดไปกับหนัง ไปตามเนื้อเรื่องที่ไปอย่างช้าๆ ใครไม่ชอบดูแนวนี้ หลับตั้งแต่10นาทีแรกแน่นอน
การแสดง ในใจผมลึกๆนะ ผมยังคิดว่าการแสดงของแต่ละคน ยังไม่ดีพอ มันดูไม่สมจริง ไม่ทำให้ผมรู้สึกว่าคนที่แสดงเป็นตัวละครนั้นๆ เป็นตัวละคนนั้นจริงๆ อาจเหตุเพราะว่า หนังไม่ได้ใช้ดาราดังๆเลยก็เป็นได้
เพลงประกอบ ผมรู้สึกได้คำเดียวว่า "ดิบ" เพราะเพลงมันนำเสนอตัวมันเองได้ตรงๆเลย ทำให้ฉากแต่ละฉาก ดูมีความหมายขึ้นมาทันตาเห็น
สรุป ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ ไม่เหมาะเลยสำหรับคนดูที่ต้องการความสนุกทั่วๆไป แต่เหมาะกับคนดูที่ชอบคิดไปตามกับหนัง เพราะการดำเนินเรื่องอะไรต่างๆ สามารถทำให้หลับได้อย่างทันใด(สำหรับคนดูทั่วไป) แต่ผมคิดว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้วงการหนังไทยมีความเจริญขึ้นไปอีก ไม่ฉุดรั้งวงการอย่างหนังที่ทำๆกันตามทุกวันนี้ ที่พยายามทำเพื่อหาเงิน โดยไม่สอดแทรกสิ่งต่างๆหรือใส่ความแปลกใหม่ลงไป ฉะนั้น หนังเรื่องนี้เหมาะสมแล้วที่ได้รับรางวัลปาล์มทองคำอย่างแน่นอน
เสียดายมากครับที่ผมไม่ได้ซื้อเรื่องนี้มาดู แต่ที่ดูได้ก็เพราะโหลดมา แต่ถ้ามีแผ่นแท้ผมจะไปซื้อเก็บไว้แน่ๆครับ ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะมีคนที่ไม่ชอบ แต่ผมก็ยังอยากให้ทุกคนดูเรื่องนี้นะครับ 555
RATE : 7.5/10
วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554
Departures หนังดีที่ไม่ควรพลาด
หากคุณต้องการดูหนังที่สะท้อนความเป็นจริงในสังคมคนญี่ปุ่น หรือที่ให้แง่คิดต่างๆ หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นตัวเลือกหนึ่ง ที่ทุกคนควรหามาดูอย่างยิ่ง!!!
เช่นเดิม ผมก็จำไม่ได้ว่าหนังเรื่องนี้ผมดูตอนไหน แต่ก็คงซักช่วงๆปี2แหละ ผมซื้อหนังเรื่องนี้โดยไม่มีความลังเลใจ และตั้งความหวังไว้ว่าหนังเรื่องนี้จะต้องทำให้ผมประทับใจได้อย่างยิ่ง ผลลัพธ์ก็คือผมประทับใจเรื่องนี้มากๆ เพราะหนังได้สะท้อนอาชีพๆหนึ่ง ที่คนในสังคมมองว่าเป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ซึ่งก็คืออาชีพการจัดเตรียมศพเพื่อที่จะพร้อมจัดงานศพ ได้อย่างลึกซึ้ง และมีความสัมพันธ์ของตัวละครที่น่าติดตาม
ในเนื้อเรื่อง มันเริ่มต้นตอนที่พระเอกต้องถูกให้ออกจากวงออเคสตร้า แล้วต้องกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อหางานทำ สุดท้ายพระเอกของเราก็ลงเอยด้วยการไปทำอาชีพเตรียมศพ โดยไม่ได้ตั้งใจ จากจุดนี้เอง หนังได้ดำเนินไปเรื่อยว่าพระเอกต้องเจอกับอะไรบ้าง ที่ทำให้ความคิดของเขาต้องเปลี่ยนไปและค้นพบความหมายของชีวิตที่งดงามและลึกซึ้ง
การดำเนินเรื่อง ทำออกมาได้เยี่ยมครับ แม้หนังจะเป็นสไตล์เล่าไปเรื่อยๆ แต่หนังเรื่องนี้ไม่ธรรมดา เพราะฉากที่เล่าไปเรื่อยๆ มันก่อให้เกิดความคิดบางสิ่งเกี่ยวกับความหมายของชีวิตกับพระเอกของเรา มีการพัฒนาของตัวละคร หนังดำเนินเรื่องได้ไม่ซับซ้อน ทำให้คนที่ดูสามารถดูได้ง่าย หนังมีการจัดให้พระเอกต้องประสบปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับงานของตน และมีวิธีจัดการกับปัญหาเหล่านั้นอย่างชาญฉลาด
การแสดง ขอยอมรับคำนับนอบน้อมแต่โดยดี ตัวละครแต่ละคน แสดงออกมาได้สมบทบาทมากๆ ทำให้คนดูเข้าใจความนึกคิด หรือ อินไปกับบทนั้นๆเลยทีเดียว เทพจริงๆครับ ไม่แสดงกากๆเหมือนหนังบางเรื่องหรอกครับ
เพลงประกอบ หนังได้ใช้เครื่องดนตรี Cello เป็นธีมหลักในหนัง บวกกับภาพบรรยากาศชนบททำให้เพลงประกอบเหล่านี้ ดูมีความหมายยิ่งขึ้น และเมื่อไปพร้อมๆกับการแสดง เพลงเหล่านี้จึงดูมีชีวิตขึ้น และเข้ากับหนังได้เป็นอย่างดี (ฟังแค่เพลงก็ดีกว่าหนังบางเรื่องแล้ว)
สรุปนะ หนังเรื่องถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ดี มีวิธีการดำเนินเรื่องที่ชาญฉลาด พูดตรงๆเลย หนังเรื่องนี้อย่างน้อยก่อนที่จะตาย ควรไปหามาดูอย่างยิ่งเลย หนังดีๆแต่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก และไม่สนใจ อีกอย่างหนังเรื่องนี้ได้ออสการ์ด้วยนะ ไปหามาดูซักเถอะ แล้วจะได้เข้าใจว่า ในชีวิตมันมีสิ่งดีๆอยู่รอบๆตัวแหละ
RATE : 9/10
ปล. ตอนจบเทพมากครับ ไม่อยากสปอย 555
เช่นเดิม ผมก็จำไม่ได้ว่าหนังเรื่องนี้ผมดูตอนไหน แต่ก็คงซักช่วงๆปี2แหละ ผมซื้อหนังเรื่องนี้โดยไม่มีความลังเลใจ และตั้งความหวังไว้ว่าหนังเรื่องนี้จะต้องทำให้ผมประทับใจได้อย่างยิ่ง ผลลัพธ์ก็คือผมประทับใจเรื่องนี้มากๆ เพราะหนังได้สะท้อนอาชีพๆหนึ่ง ที่คนในสังคมมองว่าเป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ซึ่งก็คืออาชีพการจัดเตรียมศพเพื่อที่จะพร้อมจัดงานศพ ได้อย่างลึกซึ้ง และมีความสัมพันธ์ของตัวละครที่น่าติดตาม
ในเนื้อเรื่อง มันเริ่มต้นตอนที่พระเอกต้องถูกให้ออกจากวงออเคสตร้า แล้วต้องกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อหางานทำ สุดท้ายพระเอกของเราก็ลงเอยด้วยการไปทำอาชีพเตรียมศพ โดยไม่ได้ตั้งใจ จากจุดนี้เอง หนังได้ดำเนินไปเรื่อยว่าพระเอกต้องเจอกับอะไรบ้าง ที่ทำให้ความคิดของเขาต้องเปลี่ยนไปและค้นพบความหมายของชีวิตที่งดงามและลึกซึ้ง
การดำเนินเรื่อง ทำออกมาได้เยี่ยมครับ แม้หนังจะเป็นสไตล์เล่าไปเรื่อยๆ แต่หนังเรื่องนี้ไม่ธรรมดา เพราะฉากที่เล่าไปเรื่อยๆ มันก่อให้เกิดความคิดบางสิ่งเกี่ยวกับความหมายของชีวิตกับพระเอกของเรา มีการพัฒนาของตัวละคร หนังดำเนินเรื่องได้ไม่ซับซ้อน ทำให้คนที่ดูสามารถดูได้ง่าย หนังมีการจัดให้พระเอกต้องประสบปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับงานของตน และมีวิธีจัดการกับปัญหาเหล่านั้นอย่างชาญฉลาด
การแสดง ขอยอมรับคำนับนอบน้อมแต่โดยดี ตัวละครแต่ละคน แสดงออกมาได้สมบทบาทมากๆ ทำให้คนดูเข้าใจความนึกคิด หรือ อินไปกับบทนั้นๆเลยทีเดียว เทพจริงๆครับ ไม่แสดงกากๆเหมือนหนังบางเรื่องหรอกครับ
เพลงประกอบ หนังได้ใช้เครื่องดนตรี Cello เป็นธีมหลักในหนัง บวกกับภาพบรรยากาศชนบททำให้เพลงประกอบเหล่านี้ ดูมีความหมายยิ่งขึ้น และเมื่อไปพร้อมๆกับการแสดง เพลงเหล่านี้จึงดูมีชีวิตขึ้น และเข้ากับหนังได้เป็นอย่างดี (ฟังแค่เพลงก็ดีกว่าหนังบางเรื่องแล้ว)
สรุปนะ หนังเรื่องถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ดี มีวิธีการดำเนินเรื่องที่ชาญฉลาด พูดตรงๆเลย หนังเรื่องนี้อย่างน้อยก่อนที่จะตาย ควรไปหามาดูอย่างยิ่งเลย หนังดีๆแต่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก และไม่สนใจ อีกอย่างหนังเรื่องนี้ได้ออสการ์ด้วยนะ ไปหามาดูซักเถอะ แล้วจะได้เข้าใจว่า ในชีวิตมันมีสิ่งดีๆอยู่รอบๆตัวแหละ
RATE : 9/10
ปล. ตอนจบเทพมากครับ ไม่อยากสปอย 555
Twilight หนังกากแห่งศตวรรษ!!!
ใครจะไปเชื่อล่ะว่า ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ อายุจะ21ปีแล้ว จะมีหนังเรื่องไหนที่ทำให้ให้คอหนังอย่างผมหลับได้ หลับเป็นตายเลยนะ ไม่ใช่เพราะง่วง แต่เพราะหนังมันกากมาก จนเกินคำบรรยาย
หนังเรื่องนี้ ผมดูไปแล้วตอนไหนจำไม่ได้แล้ว แต่ความรู้สึกหลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมปวดกบาลมาก ประมาณว่าหนังเหี้ยไรวะ ทำออกมาได้ไง ผมก็ตามๆๆๆๆ ไปดูผู้กำกับซึ่งก็คือ Catherine Hardwicke เอ๊ะ ใครวะ กูไม่รู้จัก แต่ก็ไปเห็นว่าหนังเรื่องก่อนๆ ที่แม่งเคยกำกับ อ้าวเรทมันก็พอได้นี่หว่า แต่ทำไมเรื่องนี้แม่งเหี้ยจิง
ผมก็ไม่รู้นะว่าหนังสือมันดีหรือป่าว เพราะผมไม่อ่าน แต่ผมการันตีได้คำเดียว ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเจอหนังกากเท่านี้มาก่อน เห็นจะดีก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ก็แค่ พระเอกนางเอก หล่อ/สวย เพลงประกอบก็ดีหน่อย แค่นั้น ส่วนเนื้อเรื่องและการแสดงนั้น โถ อย่าให้พูดถึง
ในเนื้อเรื่องนั้น หนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องได้ไร้แก่นสารสุดๆ หนังจับประเด็นไม่ได้ว่า ตัวละครแต่ละตัวมันมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แล้วมันทำแต่ละอย่างทำไม แล้วทำไมมันถึงต้องทำ โถ กูละไม่เข้าใจจริงๆ แล้วการดำเนินเรื่องก็สุดแสนจะเอื่อยเฉื่อย ไม่ใช่ว่าผมจะด่าหนังเอื่อยนะ แต่เรื่องนี้มันเอื่อยแต่ไม่มีอะไรจริงๆ โคตรๆๆๆๆน่าเบื่อ สุดจะทานทน
ส่วนการแสดง นักแสดงแสดงได้สุดแสนจะ..... ไม่อยากพูดถึง จะเห็นจะมีที่ดีก็แค่ Kristen Stewart เพราะมันแสดงได้แรดดีก็แค่นั้น ส่วนคนอื่นนะเหรอ แสดงได้ไร้อารมณ์ ไม่เข้าถึงแก่นตัวละคร ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งดูละครอยู่ที่บ้านดีๆนั่นเอง โอ๊ย กากสัด
เออ ที่อยากจะบ่นอีก เอ๊ฟเฟ็คเอย ฉากแอคชั่นเอย โถๆๆๆ ไร้อารมณ์มากๆ ดูแล้วแม่งเหมือนเด็กตีกัน บ้าน...มึงสิ ดูไม่มีความมันเลยยยยยยยย!!!!!
เรามาสรุปกันเถอะ หนังเรื่องนี้น่ะเหรอ ถ้าคิดจะไปดู ก็มีด้วยเหตุผล2ข้อ 1.เอ็ดเวิร์ดหล่อมาก 2.เจคอบหล่อมาก นอกเหนือจากนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้ดูอีกต่อไปแล้ว เสียเวลาทำมาหากิน เอาเวลาไปนั่งเกาตูดมีความสุขมากกว่าอีก ไอ้ภาคต่อๆมา ผมคงไม่เสียเวลาไปนั่งดูแล้วแหละ ดูแล้วเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ
RATE : 0.5/10 นี่ใจดีแล้วนะ
***หนังเรื่องนี้ผมขอยกรางวัลหนังกากในช่วงศตวรรษให้เลย ยินดีด้วยนะ
หนังเรื่องนี้ ผมดูไปแล้วตอนไหนจำไม่ได้แล้ว แต่ความรู้สึกหลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมปวดกบาลมาก ประมาณว่าหนังเหี้ยไรวะ ทำออกมาได้ไง ผมก็ตามๆๆๆๆ ไปดูผู้กำกับซึ่งก็คือ Catherine Hardwicke เอ๊ะ ใครวะ กูไม่รู้จัก แต่ก็ไปเห็นว่าหนังเรื่องก่อนๆ ที่แม่งเคยกำกับ อ้าวเรทมันก็พอได้นี่หว่า แต่ทำไมเรื่องนี้แม่งเหี้ยจิง
ผมก็ไม่รู้นะว่าหนังสือมันดีหรือป่าว เพราะผมไม่อ่าน แต่ผมการันตีได้คำเดียว ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเจอหนังกากเท่านี้มาก่อน เห็นจะดีก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ก็แค่ พระเอกนางเอก หล่อ/สวย เพลงประกอบก็ดีหน่อย แค่นั้น ส่วนเนื้อเรื่องและการแสดงนั้น โถ อย่าให้พูดถึง
ในเนื้อเรื่องนั้น หนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องได้ไร้แก่นสารสุดๆ หนังจับประเด็นไม่ได้ว่า ตัวละครแต่ละตัวมันมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แล้วมันทำแต่ละอย่างทำไม แล้วทำไมมันถึงต้องทำ โถ กูละไม่เข้าใจจริงๆ แล้วการดำเนินเรื่องก็สุดแสนจะเอื่อยเฉื่อย ไม่ใช่ว่าผมจะด่าหนังเอื่อยนะ แต่เรื่องนี้มันเอื่อยแต่ไม่มีอะไรจริงๆ โคตรๆๆๆๆน่าเบื่อ สุดจะทานทน
ส่วนการแสดง นักแสดงแสดงได้สุดแสนจะ..... ไม่อยากพูดถึง จะเห็นจะมีที่ดีก็แค่ Kristen Stewart เพราะมันแสดงได้แรดดีก็แค่นั้น ส่วนคนอื่นนะเหรอ แสดงได้ไร้อารมณ์ ไม่เข้าถึงแก่นตัวละคร ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งดูละครอยู่ที่บ้านดีๆนั่นเอง โอ๊ย กากสัด
เออ ที่อยากจะบ่นอีก เอ๊ฟเฟ็คเอย ฉากแอคชั่นเอย โถๆๆๆ ไร้อารมณ์มากๆ ดูแล้วแม่งเหมือนเด็กตีกัน บ้าน...มึงสิ ดูไม่มีความมันเลยยยยยยยย!!!!!
เรามาสรุปกันเถอะ หนังเรื่องนี้น่ะเหรอ ถ้าคิดจะไปดู ก็มีด้วยเหตุผล2ข้อ 1.เอ็ดเวิร์ดหล่อมาก 2.เจคอบหล่อมาก นอกเหนือจากนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้ดูอีกต่อไปแล้ว เสียเวลาทำมาหากิน เอาเวลาไปนั่งเกาตูดมีความสุขมากกว่าอีก ไอ้ภาคต่อๆมา ผมคงไม่เสียเวลาไปนั่งดูแล้วแหละ ดูแล้วเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ
RATE : 0.5/10 นี่ใจดีแล้วนะ
***หนังเรื่องนี้ผมขอยกรางวัลหนังกากในช่วงศตวรรษให้เลย ยินดีด้วยนะ
Bruno หนังเรื่องนี้มันแรงจริง!!!
จะมีใครเคยคิดมั้ยว่า โลกใบนี้มันก็มีหนังที่แรงแทงทะลุไปสู้ก้นบึ้งของหัวใจ ถ้าคุณยังไม่เคยเจอ หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณเจอกับสิ่งที่คุณไม่คาดฝันอย่างแน่นอน
หนังในที่นี้ ก็คือ "Brüno" ดูจากปก ทุกคนคิดมั้ยว่ามึงคือหนังเกย์ โฮ่ๆๆ มันใช่แล้ว จากเรื่องก่อนที่ Sacha Baron Cohen เคยแสดงผลงานไว้ใน Borat ที่ทุกคนเคยว่าแรงแล้ว มาเจอเรื่องนี้ทุกคนต้องตกใจยิ่งกว่า เพราะว่ามันประกอบไปด้วยทั้งฉากที่สุดแสนจะ.... หรือแม้กระทั่งฉากที่เข้าไปแกล้งผู้คนตามที่ต่างๆอย่างสุดแสนจะน่าโมโหและชวนอ๊วก
ในเรื่องนี้กล่าวถึง ชายผู้หนึ่งนามบรูโน่ ที่ถูกไล่ออกจากรายการหนึ่ง จากการที่เข้าไปป่วนงานแฟชั่นโชว์ จึงต้องตกงาน แต่ฟ้าก็เป็นใจส่ง ลุตซ์ ผู้ช่วยผู้จงรักภักดี มาช่วยบรูโน่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ว่าจะต้องเป็นคนดังที่สุดของออสเตรียถัดจากฮิตเลอร์นั่นเอง ซึ่งเขาต้องตระเวนไปทั่วทุกที่ทั่วสารทิศเพื่อชื่อเสียงและรักแท้ของเขาเอง
เข้ามาพูดถึงตัวหนังกันเถอะ
การดำเนินเรื่อง เนื่องจากหนังเป็นหนังแนวcandid คนทั่วไป หนังเรื่องนี้บางครั้งจึงมีการดำเนินเรื่องเคว้งคว้าง และนอกเรื่องออกไป จนจับจุดไม่ถูกว่าหนังกำลังพูดถึงอะไรอยู่ ทำให้บางช่วงถึงกับต้องนั่งเบื่อ นั่งเซ็งกันได้ ถึงแม้จะมีฉากที่ต้องตะลึงและตกใจก็ตาม
การแสดง ผู้ที่สมรู้ร่วมคิดในหนังเรื่องนี้ แสดงออกมาได้สมจริงกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็น Sacha Baron Cohen ที่แสดงบทบรูโน่ได้ถึงแก่นความเป็นเกย์ได้บาดใจ หรือ Gustaf Hammarsten ที่เล่นบทเป็นผู้ช่วยที่สุดแสนจะรักเจ้านายตัวเองได้สมจริง นักแสดงในเรื่องนี้แม้จะมีน้อยคน แต่ๆละคน สามารถถ่ายทอดออกมาและแสดงได้สมจริงมากๆ
ดนตรีประกอบ ถึงแม้ดนตรีที่ใช้ประกอบจะไม่ได้ดีมาก แต่ก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่า หนังเรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไรได้ 555
สรุป หนังเรื่องนี้แม้จะขายที่ความแรง หรือการเสียดสีอะไรต่างๆ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้ตัวหนังดีขึ้นมาซักเท่าไร ซึ่งใน Bruno ได้ถ่ายทอดความรู้สึก พฤติกรรมของคน ได้ไม่เท่ากับเรื่องก่อน(Borat) หนังเรื่องนี้จะเหมาะกับการดูต่อเมื่อ เวลานั้นคงไม่มีอะไรจะให้ดูจริงๆ ผมซึ่งซื้อแผ่นแท้ไป ยังรู้สึกเสียดายเงินกับหนังเรื่องนี้ สุดท้ายนี้ก็เอาเป็นว่า ถ้าคุณคิดจะหยิบเรื่องนี้มาดู ก็ไม่เสียหายหรอก หนังมันก็ไม่ได้กากมาก ดูพอเพลินๆได้ อย่างน้อยมันก็ดีกว่าหนังไทยในตอนนี้อีกหลายเรื่องล่ะวะ
RATE : 6/10
เอา Trailer ไปดูซะหน่อยละกัน
หนังในที่นี้ ก็คือ "Brüno" ดูจากปก ทุกคนคิดมั้ยว่ามึงคือหนังเกย์ โฮ่ๆๆ มันใช่แล้ว จากเรื่องก่อนที่ Sacha Baron Cohen เคยแสดงผลงานไว้ใน Borat ที่ทุกคนเคยว่าแรงแล้ว มาเจอเรื่องนี้ทุกคนต้องตกใจยิ่งกว่า เพราะว่ามันประกอบไปด้วยทั้งฉากที่สุดแสนจะ.... หรือแม้กระทั่งฉากที่เข้าไปแกล้งผู้คนตามที่ต่างๆอย่างสุดแสนจะน่าโมโหและชวนอ๊วก
ในเรื่องนี้กล่าวถึง ชายผู้หนึ่งนามบรูโน่ ที่ถูกไล่ออกจากรายการหนึ่ง จากการที่เข้าไปป่วนงานแฟชั่นโชว์ จึงต้องตกงาน แต่ฟ้าก็เป็นใจส่ง ลุตซ์ ผู้ช่วยผู้จงรักภักดี มาช่วยบรูโน่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ว่าจะต้องเป็นคนดังที่สุดของออสเตรียถัดจากฮิตเลอร์นั่นเอง ซึ่งเขาต้องตระเวนไปทั่วทุกที่ทั่วสารทิศเพื่อชื่อเสียงและรักแท้ของเขาเอง
เข้ามาพูดถึงตัวหนังกันเถอะ
การดำเนินเรื่อง เนื่องจากหนังเป็นหนังแนวcandid คนทั่วไป หนังเรื่องนี้บางครั้งจึงมีการดำเนินเรื่องเคว้งคว้าง และนอกเรื่องออกไป จนจับจุดไม่ถูกว่าหนังกำลังพูดถึงอะไรอยู่ ทำให้บางช่วงถึงกับต้องนั่งเบื่อ นั่งเซ็งกันได้ ถึงแม้จะมีฉากที่ต้องตะลึงและตกใจก็ตาม
การแสดง ผู้ที่สมรู้ร่วมคิดในหนังเรื่องนี้ แสดงออกมาได้สมจริงกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็น Sacha Baron Cohen ที่แสดงบทบรูโน่ได้ถึงแก่นความเป็นเกย์ได้บาดใจ หรือ Gustaf Hammarsten ที่เล่นบทเป็นผู้ช่วยที่สุดแสนจะรักเจ้านายตัวเองได้สมจริง นักแสดงในเรื่องนี้แม้จะมีน้อยคน แต่ๆละคน สามารถถ่ายทอดออกมาและแสดงได้สมจริงมากๆ
ดนตรีประกอบ ถึงแม้ดนตรีที่ใช้ประกอบจะไม่ได้ดีมาก แต่ก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่า หนังเรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไรได้ 555
สรุป หนังเรื่องนี้แม้จะขายที่ความแรง หรือการเสียดสีอะไรต่างๆ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้ตัวหนังดีขึ้นมาซักเท่าไร ซึ่งใน Bruno ได้ถ่ายทอดความรู้สึก พฤติกรรมของคน ได้ไม่เท่ากับเรื่องก่อน(Borat) หนังเรื่องนี้จะเหมาะกับการดูต่อเมื่อ เวลานั้นคงไม่มีอะไรจะให้ดูจริงๆ ผมซึ่งซื้อแผ่นแท้ไป ยังรู้สึกเสียดายเงินกับหนังเรื่องนี้ สุดท้ายนี้ก็เอาเป็นว่า ถ้าคุณคิดจะหยิบเรื่องนี้มาดู ก็ไม่เสียหายหรอก หนังมันก็ไม่ได้กากมาก ดูพอเพลินๆได้ อย่างน้อยมันก็ดีกว่าหนังไทยในตอนนี้อีกหลายเรื่องล่ะวะ
RATE : 6/10
เอา Trailer ไปดูซะหน่อยละกัน
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554
เริ่มต้น บทความแรกด้วยการแนะนำอะไรคร่าวๆก่อนนะครับ
บล๊อกนี้มีเพื่อที่ผมจะได้วิจารณ์หนังตามความคิดของผมเอง
หลังจากที่ผมได้ดูหนังมาเกือบ1000กว่าเรื่อง
ผมก็อยากที่จะออกปากพูดบ้าง
ซึ่งผมเห็นการวิจารณ์หนังจากที่ต่างๆ ผมรู้สึกว่า.....
บางครั้งหนังมันแย่ แต่วิจารณ์ซะดี
คราวนี้แหละ ผมจะวิจารณ์ตามสไตล์ของผม
ใครไม่ชอบอย่ามีปัญหานะครับ มันคือความคิดเห็นของผม
สุดท้ายนี้ ผมจะวิจารณ์แต่หนังที่เคยดู หรือเพิ่งดู อาจไม่ใหม่ ไม่อัพเดต
อย่าว่านะครับ เพราะผมดูแต่หนังแผ่น
ปล.แต่ละคน ถ้ามีทัศนะต่างออกไป อย่าพูดประมาณว่า
"ก็ฉันชอบ แล้วจะทำไม คุณไม่ชอบไปดูทำไม" อะไรอย่างนี้นะครับ
มีอะไรคุยด้วยเหตุผลนะครับ ^___^"
หลังจากที่ผมได้ดูหนังมาเกือบ1000กว่าเรื่อง
ผมก็อยากที่จะออกปากพูดบ้าง
ซึ่งผมเห็นการวิจารณ์หนังจากที่ต่างๆ ผมรู้สึกว่า.....
บางครั้งหนังมันแย่ แต่วิจารณ์ซะดี
คราวนี้แหละ ผมจะวิจารณ์ตามสไตล์ของผม
ใครไม่ชอบอย่ามีปัญหานะครับ มันคือความคิดเห็นของผม
สุดท้ายนี้ ผมจะวิจารณ์แต่หนังที่เคยดู หรือเพิ่งดู อาจไม่ใหม่ ไม่อัพเดต
อย่าว่านะครับ เพราะผมดูแต่หนังแผ่น
ปล.แต่ละคน ถ้ามีทัศนะต่างออกไป อย่าพูดประมาณว่า
"ก็ฉันชอบ แล้วจะทำไม คุณไม่ชอบไปดูทำไม" อะไรอย่างนี้นะครับ
มีอะไรคุยด้วยเหตุผลนะครับ ^___^"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)